วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การวางแผนตกแต่งภายในเป็นงานเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นหรือ?

ในยุคปัจจุบันนี้การตกแต่งภายในบ้านได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวางแผนเพื่อให้โครงการผ่านไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักออกแบบที่ดีจะหารือรายละเอียดทางด้านโครงการกับลูกค้าร่วมถึงยินดีที่จะรับฟังความต้องการและไอเดียของพวกเขา เพราะการออกแบบที่ดีนั้นจะต้องเป็นการออกแบบที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการของลูกค้า ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือค่อนข้างเสี่ยงในการเสียเงินและเวลาหากใช้นักออกแบบมือสมัครเล่น ควรจะจ้างผู้เชี่ยวชาญมากกว่าในการที่คุณจะพูดคุยด้วยในขั้นตอนการออกแบบตกแต่งภายใน

วางแผนออกแบบตกแต่งภายในบ้านในฝันของคุณ

องค์ประกอบสำคัญในการออกแบบบ้านในฝันของคุณก็คือการสรรหาบริษัทออกแบบตกแต่งภายในที่ดี ทีมนักออกแบบจะดูแลไปตั้งแต่การวางแผนใช้พื้นที่ การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ การวางแผนระบบน้ำไฟฟ้า การติดตั้งผนัง แสงไฟ หรือชั้นวาง ใส่รายละเอียดและวางแผนการจัดการพื้นที่ให้คุณซึ่งจะช่วยให้คุณบรรลุจุดประสงค์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทุกแง่มุมของบ้านจะต้องมีการสอดคล้องกัน ในระยะสั้นการออกแบบจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของเจ้าของบ้าน

ถ้าคุณรักที่จะวางแผนการตกแต่งบ้านซึ่งเป็นการเปลี่ยนสีหรือเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ การเลือกนักออกแบบที่ดีจะช่วยให้คุณไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมงานทั้งหมด พวกเขาจะทำให้คุณทั้งหมดทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ การวางแผนตกแต่งภายในเป็นกระบวนที่ลูกค้าจะต้องมีส่วนร่วมสำหรับนักออกแบบจะต้องมีการสำรวจสังเกตกระบวนทั้งหมดทั้งจากการเลือกเฟอร์นิเจอร์ผ้า ไปจนถึงวอลเปเปอร์ที่เหมาะสม
คุณสามารถกำหนดรูปแบบของห้องต่างๆสำหรับสมาชิกในครอบครัวให้มีความแตกต่างกันได้ โดยขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล และแต่ละส่วนของบ้านจะต้องมีจุดศูนย์กลางในการเชื่อมต่อกับส่วนต่างๆของทุกคนในบ้าน เพื่อใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องรับแขก ห้องน้ำใหญ่ 

จะเห็นได้ว่าการวางแผนพื้นที่ก็เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าคุณจะสร้างบ้านหรืออาคารพาณิชย์ สำนักงานออฟฟิศการสร้างบรรยากาศ ภารลักษณ์ที่ดีๆจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ มีความแตกต่างกัน 3 กรณีในการวางแผนพื้นที่นั้นคือ การออกแบบตกแต่งภายใน, การวางผังเฟอร์นิเจอร์ และการเสนอแผนการต่างๆเป็นแผนภาพเบื้องต้น เมื่อมีแผนภาพที่ชัดเจนสำหรับการเตรียมงามทั้งหมด ก็จะทำให้การวางแผนจัดการพื้นที่ออกมาได้ดี

ก่อนที่คุณคิดจะจ้างใครสักคนเพื่อวางแผนพื้นที่สำหรับคุณ คุณจะต้องแน่ใจว่าพวกเขามีทักษะที่เหมาะสมและมีความรู้ดีพอในการทำงานตามขั้นตอนไดอะแกรมเบื้องต้น อย่างเช่นโค้ดการกำหนดสร้างพื้นที่, พื้นที่การออกแบบ, การวิเคราะห์, ทักษะการนำเสนอ, ความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เลือกใช้ได้เหมาะสมและอื่นๆ การวางแผนพื้นที่เป็นเรื่องจำเป็นเพราะเกี่ยวกับการใช้งานพื้นที่ทั้งหมดของบ้านให้มีประสิทธิภาพและมีความสะดวกสบาย รูปแบบการจัดวางของเฟอร์นิเจอร์จะต้องปรับให้ถูกต้องเหมาะสมกับพื้นที่หรือเพียงพอที่จะใช้สอยในห้องได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดหรือวุ่นวายสับสน

หน้าต่างประตูเมื่อได้รับการออกแบบจัดวางใหม่ ก็จะต้องให้ความรู้สึกที่โปร่งโล่งสบาย มีองค์ประกอบจำนวนมากที่จะต้องมีการพิจารณา และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมต้องจ้างทีมงานผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย เนื่องจากเป็นงานที่ซับซ้อนเช่นการวางแผนในการออกแบบตกแต่งภายในและการนำแผนที่ได้ไปประยุกต์ใช้ มันจะเป็นการลงทุนที่ดีและช่วยประหยัดเวลาอีกด้วย


วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความแตกต่างระหว่างหลังคาเมทัลชีทกับหลังคาแผ่นยาง

นับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการก่อสร้างซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีวัสดุแปลกใหม่ออกมาเรียกร้องความสนใจเสมอ สำหรับหลังคาเมทัลชีทนั้นบ้านเราก็คงเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่หลังคาแบบแผ่นยางนี้สิ นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับตัวผู้เขียนเองหรืออาจจะรวมท่านผู้อ่านด้วยก็ได้ เราเคยรู้จักกันแต่กระเบื้องยางไว้ปูพื้น ไม่ว่าจะเป็นตามบ้าน อาคาร โรงพยาบาล หรือสถานที่อื่นๆ แต่ตอนนี้มันได้ถูกพัฒนาไปใช้เป็นหลังคาได้ด้วย ซึ่งต่างประเทศได้มีการใช้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีชื่อเรียกว่า Asphalt Roofing หากได้ลองค้นหาดูรูปภาพแล้วจะพบว่ามีหลายแบบ หลายสี ไว้ให้เลือกอีกด้วย เรามาดูกันเถอะว่า มันแตกต่างจากหลังคาเมทัลชีท ที่เพิ่งจะนิยมใช้ในประเทศของเราอย่างไรบ้าง?

หลังคาแผ่นยาง หรือ Asphalt Roofing ทำมาจากยาง มีลักษณะคล้ายกับยางมะตอย เป็นหลังคาที่พบได้มากที่สุดในสหรัฐ เพราะว่าเป็นหลังคาที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีความทนทาน เหตุผลที่นิยมใช้กันมากเพราะยางจะต้านทานความเสียหายที่เกิดจากความชื้นและแรงลม นอกจากนี้มันยังทนต่อย่อยสลายหรือปลวกแทะ มันไม่ต้องการดูแลการบำรุงรักษาใดๆเลย และยังง่ายต่อการซ่อมแซมมาก และถ้าหากช่างผู้ติดตั้งทำงานได้ดีมีคุณภาพแล้ว เจ้าของบ้านก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อมแซมอะไรมันเลย อายุการใช้งานของมัน หากเป็นแบบมาตรฐานทั่วไปหรือแบบธรรมดา มันจะอยู่ได้ถึง 15-20 ปี และถ้าเป็นชนิดที่มีคุณภาพสูงไฮเกรดแล้วล่ะก็ จะอยู่ได้นานประมาณ 25-30 ปีเลยทีเดียว นอกจากนี้มันยังมีหลายรูปแบบ หลายพื้นผิว บางยี่ห้อจะเลียนแบบเหมือนกันต้นสน หรือ เหมือนกับกระดานชนวน

ต้นทุนในการติดตั้งหลังคาแผ่นยาง ก็ประมาณ 30-60 บาทต่อตารางฟุต (ประมาณจากอัตราแลกเปลี่ยน ราคาในต่างประเทศคือ $1-$2) อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการเปลี่ยนจากหลังคาแบบเดิมมาใช้เป็นแบบแผ่นยางนี้ ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการรื้อหลังคาเก่าออกด้วย ก็ประมาณ $1.75 – $2.50 หรือ ประมาณ 55 – 78 บาท หากคิดเป็นเงินไทย หากจะคิดราคาเฉลี่ยทั้งหมดก็ประมาณ$5000 - $9000 หรือ ประมาณ 150000 – 279000 บาทไทย สำหรับค่าติดตั้งและค่าวัสดุ (ไม่รวมค่ารื้อหลังคา) หากรวมค่ารื้อด้วย ค่ารื้อจะประมาณ $3,500 - $5,000 หรือ 108000 – 150000 บาท อันนี้เป็นราคาสำหรับบ้านที่มีหลังคาประมาณ 2,000 ตารางฟุต ราคาจะเปลี่ยนตามพื้นที่ของหลังคา

หลังคาเมทัลชีท หรือหลังคาโลหะ


หลังคาเมทัลชีท มีราคาแพงกว่าหลังคายาง แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนมันบ่อยเพราะมันมีอายุการใช้งานถึง 50 ปี หรือมากกว่านั้น และยังมีผู้ผลิตจำนวนมากที่รับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะสามารถอยู่ได้ถึง 30-40 ปี คุณสมบัติพื้นฐานของหลังคาโลหะแบบนี้ก็คือ ทนไฟ และส่วนใหญ่เจ้าของบ้านจะได้รับส่วนลดในการประกันภัย นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงฤดูร้อน มีการบำรุงรักษาน้อย มีหลายรูปแบบเช่นกัน อาทิ แบบมีชนวนกันเสียง กันความร้อน เป็นต้น

ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งหลังคาเมทัลชีท

หลังคาโลหะที่มีการเพิ่มระดับในปานกลาง จาก 8 นิ้ว ไปจนถึง 12 นิ้ว จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ $4-$5 หรือประมาณ 124 – 155 บาทไทย ต่อตารางฟุต รวมการติดตั้งแล้ว ดังนั้นราคารวมของหลังคาที่มีพื้นที่ 2,000 ตารางฟุต จะมีค่าใช้จ่ายที่ $8,000-$10,000 หรือประมาณ 248,000- 300,000 บาทไทย แต่ราคาอาจจะเพิ่มขึ้นหากต้องมีการติดตั้งที่ยุ่งยากหรือแบบของหลังคาซับซ้อน หลายมุม มีข้อดีตรงที่คุณไม่ต้องรื้อหลังคาเก่าออกหรือโครงหลังคาเก่าออก อย่างที่ต้องใช้กับหลังคาแผ่นยาง

เพราะหลังคาไม่ได้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไปตลอดกาลดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัสดุที่จะนำมาใช้รวมไปถึงค่าแรงในการติดตั้งหรือซ่อมแซมหากหมดอายุการใช้งาน หลังคาจะต้องถูกติดตั้งอย่างถูกต้องเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องบ้าน การเลือกใช้หลังคาเมทัลชีทหรือชนิดอื่นก็ยังคงเป็นทางเลือกที่พบได้บ่อยเสมอ

วิธีการเอาสกรูที่ชำรุดออก

สกรูที่หักหรือชำรุดแล้วเป็นปัญหาที่ก่อความน่าหงุดหงิดใจมากสำหรับช่างหรือผู้ใช้ทั่วไป สาเหตุหรือจะเกิดจากสนิมหรือการกัดกร่อนที่สะสมเป็นเวลานานและเกาะติดไปจนทำให้เกิดการขาดหรือหักข้างใน วิธีง่ายๆที่จะนำมันออกมานั้นก็เพียงแค่ทำลายมันสะหรือทำให้มันลั่นคลอนจนคลายว่าเกลียวแล้วหลุดออกมาได้ ซึ่งอาจจะฟังดูเป็นวิธีที่หฤโหดมาก และไม่ส่งผลดีกับอุปกรณ์ใกล้เคียง เรามีวิธีง่ายๆที่จะช่วยให้เอาสกรูชำรุดเหล่านี้ออกไป


  1. ใช้สารเคมี (Chemical Removal) เราขอเริ่มจากวิธีที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะพยายามได้ก่อน สารเคมีสามารถเข้าถึงได้ง่ายมันสามารถแทรกซึมไปได้ทุกสัดส่วน เช่น น้ำมะนาว หรือสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนพวกคราบสนิมทั้งหลายที่เกาะอยู่ในตัวของสกรู วิธีนี้เราอาจจะเห็นจากคลิปทั่วไปที่แสดงให้เห็นว่าน้ำอัดลมสามารถทำให้ตะปูที่เป็นสนิมกลายเป็นตะปูใหม่เอื่ยมไร้คราบสนิมเหล็กเกาะยึดแน่นในตอนแรก หรือสารพวกไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรืออาจจะเป็นน้ำยาล้างคราบสนิมก็สามารถนำมาใช้ได้ตรงประเด็น สารเคมีพวกนี้ไม่ได้เป็นตัวช่วยถอนสกรู แต่จะช่วยให้คราบฝังแน่นจำพวกสนิมต่างๆหลุดออก และทำให้เอาสกรูออกได้ง่าย
  2. ใช้ไขควงที่ถูกต้องและมีขนาดเหมาะสม เป็นวิธีที่ต้องใช้แรงกำลังขึ้นมาอีกหน่อย คุณจะต้องเลือกใช้ไขควงให้ถูกต้องไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ทำให้หัวสกรูขาดออกมา และคุณก็จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเพิ่มเติมขึ้นด้วย ถ้าหากว่าคุณไม่สามารถจะดึงสกรูออกมาได้ แต่ว่าหัวของสกรูได้ถูกดันขึ้นมาจนคุณสามารถใช้อุปกรณ์ช่วย คุณก็สามารถนำคีมล็อคหรือคีมชนิดอื่นคีบที่หัวสกรูแล้ว หรืออาจจะคีบที่ไขควงและพยายามหมุนมันขึ้นมา พยายามโยกหรือทำลายการยึดเกาะให้สกรูหมุนฟรีให้ได้มากที่สุด และคุณจะสามารถเอาสกรูออกมาได้ในที่สุด
  3. ใช้ความร้อน/เย็น ก่อนที่จะใช้วิธีนี้คุณจะต้องแน่ใจว่าวัสดุที่ยึดกับสกรูจะสามารถทนต่ออุณหภูมิที่จะใช้ต่อไปนี้ได้ จะกล่าวได้ว่า คุณอาจจะต้องใช้โพรเทน หรือ บิวเทน เพื่อสร้างความร้อนเพื่อที่จะขยายสกรู หรืออาจจะใช้หัวแร้งหรือปืนยิงกาวร้อน (แต่ไม่ต้องมีกาว) ความร้อนจะทำให้สกรูเกิดการขยายตัวและคุณสามารถขยับสกรูเพื่อสร้างช่องว่างรอบๆสกรูหรือทำให้มันอยู่ในระยะหมุนฟรีได้ แต่ถ้าใช้ความร้อนไม่ได้ผล ความเย็นอาจจะช่วยคุณได้โดยวางน้ำแข็งไปบนสกรู (น้ำแข็งแห้งจะมีประสิทธิภาพดีกว่า) เมื่อเห็นว่าสกรูเย็นพอแล้ว ลองหมุนมันอีกครั้ง ถ้าคุณตัดสินใจจะใช้วิธีใช้ความร้อนก่อน ห้ามใช้น้ำมันหล่อลื่น(หรือสารไวไฟชนิดอื่น) จากนั้นรอสกรูจนเย็นแล้วทำซ้ำโดยหมุนเวียนเปลี่ยนร้อน-เย็น จนกว่าจะสามารถขยับสกรูและเอามันออกมาได้
  4. ใช้วิธีทำลายสกรู เป็นขั้นตอนสุดท้ายจริงๆที่จะต้องใช้วิธีนี้ เพราะว่าช่างส่วนใหญ่มักจะไม่พยายามงัดหรือทำลายให้รูสกรูเสียหาย เพราะถ้ารูสกรูเสียหายหมายถึง งานโดยรวมทั้งหมดจะมีรอยตำหนิ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ ขั้นแรก ใช้สิ่วขนาดเล็กที่สุดสกัดไปที่หัวสกรู ตีสิ่วโดยพยายามหมุนให้ทวนเข็มนาฬิกา (จำไว้ว่า ให้หมุนไปทางขาว) จากนั้นใช้สว่านดอกเล็กเจาะที่หัวสกรู แล้วหมุนสว่านไปทางซ้ายเพื่อหมุนมันออก
  5. เป็นวิธีสุดท้ายนั้นคือในกรณีที่หัวสกรูหักหรือขาด ซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษช่วย นั้นคือ ตัวถอนสกรู หรือ "screw extractor" ขั้นตอนวิธีก็จะเหมือนกับขั้นตอนที่ 4 เพียงเปลี่ยนจากสิ่วเป็นตัวถอนสกรู ตอกตัวถอนลงไปบนตัวสกรูที่หักคาอยู่แล้วหมุนไปทางขวา สกรูก็จะยิ่งแน่นขึ้น แต่จะส่งผลให้ตัวถอนยิ่งเจาะลึกเข้าไปในสกรูมากขึ้นแน่นมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มหมุนสกรูไปทางซ้ายเพื่อคลายมันออกจากรู ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพื่อไม่ให้รูสกรูเกิดความชำรุด และหากโชคดี คุณก็จะได้สกรูต้นเหตุออกมาจากรูได้อย่างไม่มีปัญหาใด 

แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปด้วยดีแล้วล่ะก็ มีงานใหญ่รอคุณอยู่ นั้นคือ การทำลายสกรูให้สิ้นซาก โดยการใช้ความสูงละลายมันออกเสียโดยใช้อุปกรณ์กลึงไฟฟ้า (Electrical Discharge Machining) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เวลาน้อยและไม่ทำลายรูของสกรูให้เสียหาย แต่อาจจะต้องยุ่งยากในการหาอุปกรณ์ และต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

แน่นอนว่า การเอาสกรูที่ติดแน่นออกนั้นเป็นเรื่องที่ดูแล้วยุ่งยากมากๆ แต่วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถนำมันออกด้วยตัวคุณ เริ่มจากวิธีง่ายๆไปสู่วิธีที่ต้องใช้อุปกรณ์หรือช่างเทคนิคมาช่วย ดังนั้นคุณควรจะเริ่มต้นด้วยวิธีที่ง่ายๆและต้องใช้ความระมัดระวังที่สุด